กระทือ
ชื่อสามัญ : Shampoo ginger, Wild ginger
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zingiber zerumbet (L.) Smith
ชื่อวงศ์ : Zingilberaceae
ชื่ออื่น : กระทือ(ทั่วไป),กระทือป่า,กะแอน,กะแวน(ภาคเหนือ),เฮียวดำ,เฮียวแดง(แม่ฮ่องสอน),เปลพ้อ(กะเหรี่ยง),เฮียวซ่า(ไทยใหญ่)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กระทือมีถิ่นกำเนิดบริเวณเอเชียใต้ บริเวณประเทศอินเดีย และศรีลังกา ต่อมามีการแพร่กระจายพันธุ์ไปยังบริเวณเขตร้อนใกล้เคียง เช่น บังคลาเทศ,พม่า,ไทย.มาเลเซีย,ลาว,อินโดนีเซีย เป็นต้น โดยมักพบแพร่กระจายทั่วไปในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และชอบขึ้นบริเวณดินร่วน โดยเฉพาะบริเวณที่ชื้นข้างลำน้ำ สำหรับในประเทศไทย พบขึ้นมากตามป่าดงดิบที่มีความชื้นสูงทางภาคเหนือ รวมถึงตามริมลำธารของชายป่าในภาคใต้
ลำต้น
กระทือจัดเป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุข้ามปี มีลำต้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ลำต้นเหนือดิน
ลำต้นเหนือดิน จัดเป็นไม้เนื้ออ่อน มีแกนเป็นเส้นใยในแนวตั้งตรง มีลำต้นสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ลำต้นมีลักษณะกลม ถูกหุ้มด้วยกาบใบ ทั้งนี้ ลำต้น และใบเหนือดินจะเหลือง และแห้งในหน้าแล้ง แล้วหน่อใหม่จะทยอยเติบโตขึ้นใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝน
2. ลำต้นใต้ดิน
ลำต้นใต้ดินหรือที่เรียกว่า เหง้า หรือ หัว จัดเป็นลำต้นที่อยู่ใต้ดิน เหง้ามีลักษณะกลม แยกออกเป็นแง่ง และมีรากแขนงแทงลึกลงดิน คล้ายเหง้าข่า แต่ละปลายแง่งจะเจริญเป็นหน่อแทงขึ้นกลายเป็นลำต้นเหนือดิน เหง้าอ่อนหรือหน่อหน่ออ่อนมีกาบหุ้มหน่อสีม่วง เนื้อเหง้ามีสีขาว เหง้าแก่มีสีเหลืองอมน้ำตาล เนื้อเหง้าด้านในมีสีเหลืองอ่อน มีรสขื่น เผ็ด และมีกลิ่นหอม สามารถใช้เป็นเครื่องเทศใส่ในอาหารได้ แต่ไม่นิยมนัก
ใบ
กระทือเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แทงใบออกเยื้องสลับกันตามความสูงของลำต้น ใบมีกาบใบหุ้มติดแน่นกับแกนลำต้น ใบมีก้านใบสั้นติดกับกาบใบ ใบมีรูปหอกยาว กว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร แผ่นใบเรียบ ใบอ่อนมีสีเขียวสด ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย โคนใบสอบแคบ ปลายใบแหลมเล็ก แผ่นใบมองเห็นริ้วเป็นเส้นตามแนวยาวรางๆ มีเส้นกลางใบขนาดใหญ่ชัดเจน
ดอก
กระทือออกดอกเป็นช่อ แทงก้านช่อดอกตั้งตรงจากเหง้าขึ้นมาเหนือดิน ก้านช่อดอกมีลักษณะกลม ยาวประมาณ 15-45 เซนติเมตร ตัวช่อดอกมีลักษณะกลม กว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7-12 เซนติเมตร โคนช่อดอกกว้าง และค่อยๆเล็กลง และมนที่ปลาย บนช่อดอกประกอบด้วยใบประดับที่ซ้อนเรียงติดกันเป็นกลีบๆ แต่ละกลีบมีรูปสามเหลี่ยม ปลายเหลี่ยมมน ขอบกลีบมีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ ขนาดกว้างประมาณ 3-3.5 เซนติเมตร สูงประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร ช่อดอกอ่อนมีใบประดับสีเขียว จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงหรือสีแดงสด เมื่อดอกบาน ตัวดอกจะแทงออกจากซอกระหว่างใบประดับแต่ละอัน โดยทยอยบานออกจากด้านบนลงด้านล่างดอกย่อยแต่ละดอก มีก้านดอกเป็นหลอด ยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ถัดมาเป็นกลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบเลี้ยงมีรูปหอก แผ่นกลีบเลี้ยงเกลี้ยง สีขาวอมเหลือง ค่อนข้างโปร่งแสง มีขนาดใหญ่กว่ากลีบดอก ถัดมาด้านในเป็นกลีบดอก จำนวน 3 กลีบ ปลายกลีบดอกแยกออกเป็น 3 แฉก แผ่นกลีบดอกเรียบ มีรูปหอก ปลายกลีบแหลม มีสีขาวอมเหลือง กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ตรงกลางดอกมีเกสรเพศผู้ 1 อัน ที่มีอับเรณูสีเหลือง ขนาดใหญ่ ด้านล่างเป็นเกสรเพศเมีย และรังไข่รูปวงรี ทั้งนี้ ดอกจะออกในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน
ผล และเมล็ด
ผลกระทือจะแทรกอยู่ตรงซอกของใบประดับ มีรูปไข่กลับ ขนาดผลกว้างประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร เนื้อหุ้มเมล็ดมีสีขาว ด้านในมีเมล็ด 1 เมล็ด ส่วนเมล็ดมีลักษณะกลม เปลือกหุ้มเมล็ดมีสีดำ ผิวเมล็ดเรียบ และเป็นมัน ทั้งนี้ จะติดผลในช่วงเดือนตุลาคม
ประโยชน์และสรรพคุณกระทือ
กระทือเป็นพืชที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายประเภท เช่น หน่ออ่อนใช้รับประทานสดหรือลวกจิ้มน้ำพริกคล้ายกับข่า หรือรับประทานเป็นผักคู่กับอาหาร รวมถึงใช้หน่ออ่อนหรือหน่อแก่ใส่ในต้ม แกงต่างๆ เช่น แกงเผ็ด, แกงไตปลา และยังช่วยในการดับกลิ่น และเพิ่มกลิ่นหอมได้อีกด้วยแต่สำหรับเนื้อในของเหง้าจะมีรสขมเล็กน้อย ต้องนำมาหั่นแล้วขยำกับน้ำเกลือนาน ๆ ก่อนนำมารับประทาน โดยทางภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน มีการใช้เหง้าไปแกงกับปลาย่างเพื่อใช้รับประทาน ส่วนที่กาญจนบุรีก็มีการนำดอกแห้งของกระทือและเหง้ากระทือมาใช้รับประทานเป็นผักหรือใส่ในน้ำพริกรับประทานเช่นกัน ส่วนของใบใช้ห่อข้าวห่อของห่อปิ้งอาหาร ลำต้นนำมากรีดเป็นเส้น สามารถใช้ทำเป็นเชือกรัดของ ดอกกระทือก็สามารถนำไปใช้ปักแจกันเพื่อความสวยงามได้ นอกจากนี้สารสกัดจากกระทือด้วยเมทิลแอลกอฮอล์ สามารถนำมาใช้ป้องกันและกำจัดเหาได้เป็นอย่างดี
1. บำรุงน้ำนมสตรีให้บริบูรณ์
2. ลดอาการท้องอืด
3. ท้องเฟ้อ ขับลม แก้ลมจุกเสียด
4. ช่วยย่อยอาหาร
5. แก้ปวดมวนในท้อง
6. แก้บิด
7. แก้ไอ
8. บำรุงธาตุ
9. ขับปัสสาวะ
10. แก้แน่นหน้าอก กล่อมอาจม
11. ขับน้ำย่อยอาหารให้ลงสู่ลำไส้
12. แก้จุกเสียด
13. แก้พิษเสมหะ
14. ทำให้เจริญอาหาร
15. แก้ไข้
16. บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
17. ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ