

ต้นนมแมว
ชื่อสามัญ : สะเดาเทียม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Rauwenhoffia siamensis Scheff.
ชื่อวงศ์ : ANNONACEAE
ชื่ออื่น : น้ำจ้อย (ยโสธร), ตราแป (มลายู) เป็นต้น
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
ต้น : จัดเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยไม่ผลัดใบ เลื้อยไปได้ไกลประมาณ 2-5 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านได้มาก เกิดเป็นพุ่มใหญ่ ๆ เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลอมสีเหลือง เนื้อไม้มีความเหนียวมาก กิ่งอ่อนมีขนลักษณะเป็นรูปดาวสีน้ำตาลขึ้นอยู่หนาแน่น ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด และวิธีการตอนกิ่ง ควรปลูกในพื้นที่ชื้น เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ชอบน้ำปานกลาง และแสงแดดปานกลางถึงร่มรำไร ต้นนมแมวเป็นพืชเฉพาะถิ่น มีถิ่นกำเนิดในทางภาคใต้ของประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักพบขึ้นในป่าดิบ ตามชายป่าชื้น และตามป่าเบญจพรรณทางภาคกลางและภาคใต้
ใบ : ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายใบแหล โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-6.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-22.5 เซนติเมตร
ดอก : ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบใกล้บริเวณปลายยอด กลีบดอกหนา มีกลีบ 6 กลีบ เรียงกันเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 ดอก มีขนปกคลุม กลีบนอกเป็นรูปไข่ มีขนาดกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.3 เซนติเมตร ส่วนกลีบในคล้ายกับกลีบนอก แต่จะมีขนาดเล็กกว่า กลีบดอกเป็นสีเหลืองนวลและมีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ดอกจะส่งกลิ่นหอมในช่วงเย็น และมีกลิ่นหอมแรงในเวลากลางคืน ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 เซนติเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมากเบียดกันแน่นเป็นกระจุก ส่วนกลีบเลี้ยงหรือกลีบรองดอกเป็นสีเขียวมี 3 กลีบ ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมหรือเป็นรูปไข่กว้าง ปลายมน มีขนาดประมาณ 4-5 มิลลิเมตร มีขนสีน้ำตาลขึ้นปกคลุม สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี แต่จะให้ดอกดกที่สุดในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม
ผล : ออกผลเป็นกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะมีผลย่อยประมาณ 8-15 ผล ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมรี และมีตุ่มปลายผลคล้ายกับเต้านมของแมว ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ผลเมื่อสุกจะเป็นสีเหลือง เปลือกผลนิ่ม มีกลิ่นหอม ใช้รับประทานได้ โดยจะมีรสหวาน และภายในผลมีเมล็ดประมาณ 6-8 เมล็ด
ประโยชน์
ผลสุกมีรสหวาน ใช้รับประทานเป็นผลไม้ได้
1. ดอกมีน้ำมันหอมระเหย นำมาแช่กับน้ำไว้ล้างหน้าจะช่วยทำให้สดชื่น
2. น้ำมันหอมระเหยจากดอกมีกลิ่นหอม สามารถนำมาใช้ในการแต่งกลิ่นอาหารและเครื่องสำอางได้[4] ซึ่งในอดีตดอกนมแมวมีการนำมาใช้แต่งกลิ่นขนมไทยเพื่อให้น่ารับประทานยิ่งขึ้น โดยเฉพาะขนมที่ใส่น้ำเชื่อมหรือน้ำกะทิ เช่น ขนมจำพวกลอดช่อง เป็นต้น ซึ่งความนิยมใช้กลิ่นของดอกนมแมวในอดีตนั้นมีมากจนเกิดผลผลิตที่เป็นน้ำหอมกลิ่นดอกนมแมวออกวางจำหน่ายในท้องตลาด เพื่อใช้ปรุงแต่งกลิ่นขนมไทยโดยเฉพาะ โดยมีชื่อเรียกทั่วไปว่า "น้ำนมแมว" ซึ่งก็หมายถึงน้ำหอมกลิ่นดอกนมแมวนั่นเอง และไม่ใช่น้ำนมของแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงแต่อย่างใด แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่าจะยังมีขายอยู่หรือไม่ เพราะความนิยมใช้น้ำนมแมวเพื่อปรุงกลิ่นหอมของอาหารนั้นลดลงมากกว่าในอดีตหลายเท่านัก เพราะคนในยุคปัจจุบันจะหันไปใช้กลิ่นของดอกไม้จากต่างประเทศกันมากขึ้น และนอกจากจะใช้แต่งกลิ่นอาหารหรือขนมแล้วยังนำมาใช้ในการแต่งกลิ่นเครื่องสำอางอีกด้วย
3. ดอกนมแมวมีขนาดเล็ก พกพาติดตัวได้ง่ายและไม่ชอกช้ำเพราะมีกลีบดอกหนา ให้กลิ่นหอมแรงเฉพาะตัว จึงเหมาะสำหรับใช้ห่อผ้าหรือผูกผมคล้ายกับดอกจำปี
4. ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามสวนสาธารณะ สถานที่ราชการ หรือตามบริเวณบ้าน ฯลฯ เพาะปลูกดูแลได้ง่าย ทนทาน มีอายุยืน น้ำท่วมก็ตาย อีกทั้งดอกมีกลิ่นหอมสดชื่น และออกดอกได้ตลอดทั้งปี จึงนิยมปลูกกันมากในที่ราบลุ่มทางภาคกลาง
สรรพคุณของนมแมว
1. เนื้อไม้และราก ใช้ต้มกับน้ำรับประทานเป็นยาแก้ไข้กลับ ไข้ซ้ำ ไข้หวัด ไข้ทับระดู และไข้เพื่อเสมหะ (เนื้อไม้และราก)
2. รากนมแมว ใช้ผสมกับรากหนามพรม และรากไส้ไก่ ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ริดสีดวงจมูกได้ดีมาก (ราก)
3. ในอดีตคนสมัยก่อนจะใช้ยอดใบอ่อนประมาณ 5-7 ใบ ผสมกับน้ำปูนขาวและน้ำ แล้วขยี้ส่วนผสมทั้งหมดจนแตกเป็นเนื้อละเอียดจนเป็นฟองสีเหลือง แล้วนำมาทาบริเวณท้อง จะช่วยแก้อาการท้องอืดท้อง ท้องเฟ้อ ในเด็กเล็กได้ (ใบ)
4. ตำรายาพื้นบ้านอีสานจะใช้รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติของสตรี (ราก)
5. รากนมแมวนำมาตำผสมกับน้ำปูนใส ใช้ทาแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย (ราก)
6. ผลนำมาตำผสมกับน้ำใช้ทาแก้เม็ดผื่นคันตามร่างกาย (ผล)
7. รากใช้เป็นยาแก้โรคผอมแห้งของสตรี อันเนื่องจากคลอดบุตรอยู่ไฟไม่ได้ (ราก)¬
8. ตามความเชื่อของคนโบราณจะใช้ยอดใบอ่อนประมาณ 5-7 ใบ นำมาผสมกับน้ำปูนขาวและน้ำพอประมาณ แล้วขยี้เป็นเนื้อละเอียดแตกเป็นฟองสีเหลือง ใช้ทารอบเต้านม จะช่วยทำให้เด็กที่หย่านมยาก หย่านมได้ เพราะใบอ่อนของต้นนมแมวนั้นมีรสขม ซึ่งทำให้เด็กไม่ชอบ และทำให้หย่านมได้ง่าย (ใบ)